น้ําตาลจากหญ้าหวาน

ฉลาดเลือก! หญ้าหวาน ลดน้ำตาล กินแบบไหนไม่เสี่ยงโรค
หญ้าหวาน สมุนไพรรสชาติหวานเจี๊ยบสมดังชื่อ แถมเปี่ยมด้วยคุณประโยชน์ ทางเลือกของคนรักสุขภาพเช่นกัน



“ชอบกินรสหวาน แต่น้ำตาลในเลือดก็สูงปรี๊ด”

“ชอบกินรสหวาน แต่ก็อยากลดความอ้วน”

เพราะความหวานเป็นรสชาติที่หลายคนขาดไม่ได้ แต่ในขณะเดียวกันความหวานก็เป็นศัตรูตัวร้ายที่คอยทำลายสุขภาพ ปัจจุบันอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มหลายชนิด จึงหันมาสนใจใช้สารให้ความหวานจากธรรมชาติแทนสารสังเคราะห์มากขึ้น



หญ้าหวาน…ของดีตั้งแต่ครั้งโบราณ
หญ้าหวานจัดเป็นพืชล้มลุกระยะยาว มีลักษณะคล้ายต้นกะเพราหรือต้นแมงลัก ลำต้นกลมและแข็ง มีใบเดี่ยวรูปหอก ขอบใบหยักคล้ายฟันเลื่อย ใบให้สารที่มีรสหวาน และมีช่อดอกสีขาว โดย อาจารย์ ดร.ณัฐิราอ่อนน้อม ฝ่ายวิทยาศาสตร์การอาหารสถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดลเล่าถึงที่มาของหญ้าหวานให้ฟังว่า

“หญ้าหวานเป็นพืชพื้นเมืองของประเทศบราซิลและทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศปารากวัย ซึ่งนิยมใช้ผสมกับชาเพื่อดื่มกันมานานแล้วส่วนชาวญี่ปุ่นเองก็กินหญ้าหวานกันอย่างแพร่หลาย โดยใช้หมักเป็นผักดองหรือทำเต้าเจี้ยว”

“สำหรับในประเทศไทยนั้นเริ่มมีการนำหญ้าหวานมาใช้กันเมื่อปี พ.ศ.2518 โดยนิยมนำไปตากแห้ง ชงผสมกับเครื่องดื่มแทนน้ำตาล”

หญ้าหวานหวานธรรมชาติ เปี่ยมคุณประโยชน์
รูปแบบของหญ้าหวานที่นิยมกินมี 2 แบบด้วยกัน คือ นำใบหญ้าหวานมาผสมกับชาสมุนไพรต่างๆ เพื่อเติมรสหวาน หรือสารสกัดจากหญ้าหวานเป็นผงสำเร็จรูปบรรจุซองสำหรับเติมลงในชา กาแฟ หรืออาหารต่างๆ ทั้งนี้อาจารย์ ดร.ณัฐิราได้อธิบายถึงคุณโยชน์ของหญ้าหวานว่า

“ใบหญ้าหวานจะให้ความหวานมากกว่าน้ำตาล 10 – 20 เท่า ส่วนสารสกัดบริสุทธิ์จากหญ้าหวาน หรือที่เรียกว่า สารสตีวิโอไซด์ (Stevioside) ให้ความหวานมากกว่าน้ำตาล 200 – 300 เท่า โดยไม่ให้พลังงาน (0 แคลอรี) จึงเหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ต้องการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก แถมยังช่วยบำรุงตับอ่อน ลดไขมันในเส้นเลือด ลดความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจและความดันโลหิตสูงได้

“นอกจากนี้สารสกัดจากหญ้าหวานยังไม่ทำให้ฟันผุ ทั้งมีความทนทานต่อกรดและความร้อน เมื่อใช้ผสมกับอาหารหรือเครื่องดื่มที่ต้องผ่านความร้อนสูงจึงไม่กลายเป็นสีน้ำตาล ทำให้สารสกัดจากหญ้าหวานถูกนำไปใช้ในการผลิตอาหารหรือเครื่องดื่มบางชนิด เช่น เบเกอรี่ ลูกอม หรือแม้แต่น้ำอัดลม”

หญ้าหวาน

หญ้าหวานก่อมะเร็ง เป็นหมันจริงหรือ
แม้ไม่นานมานี้จะมีการรายงานว่า มีชาวปารากวัยที่กินหญ้าหวานแล้วกลายเป็น ufabet หมันหรือจำนวนอสุจิลดน้อยลงก็ตาม แต่จากข้อมูลของ สถาบันการแพทย์แผนไทยคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เผยผลวิจัยจากต่างประเทศซึ่งพบว่าการใช้หญ้าหวานไม่ได้ทำให้เกิดผลกระทบหรือผลข้างเคียงแต่อย่างใด เพราะหลังจากทดลองกับหนูทดลองถึง 3 ชั่วอายุ ไม่ก่อให้เกิดการกลายพันธุ์หรือกลายเป็นหมัน

“หญ้าหวานสามารถกินได้ทุกเพศทุกวัย ทั้งนี้ในแต่ละวันไม่ควรกินเกิน 4มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม แต่อย่าลืมว่าหญ้าหวาน มีรสขมเล็กน้อยดังนั้นจึงควรระวังเวลานำไปใช้เพราะอาจทำให้รสชาติอาหารเปลี่ยนแปลงได้

“ส่วนผู้ที่ยังไม่เคยกินหญ้าหวาน อาจจะค่อยๆ เริ่มกินเพื่อปรับตัวให้ชินกับรสชาติหวานที่มีรสขมติดปลายลิ้นด้วยเล็กน้อยค่ะ” อาจารย์ ดร.ณัฐิรากล่าว ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลของเหล่านักวิจัย ที่ได้ร่วมกันทบทวนผลงานวิจัยถึงคุณประโยชน์และโทษเกี่ยวกับหญ้าหวาน โดยสถาบันการแพทย์แผนไทยว่า

“หญ้าหวานไม่ถูกย่อยให้เกิดพลังงาน นักวิชาการจึงสนใจประเด็นสารสกัดสตีวิโอไซด์ว่ามีพิษหรือไม่ และควรกินเท่าใดจึงปลอดภัย ซึ่งได้คำตอบว่า สตีวิโอไซด์ปลอดภัยในทุกกรณี และค่าสูงสุดที่กินได้คือถึง 7.938 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ซึ่งถือว่าเป็นปริมาณที่สูงมาก เพราะในความเป็นจริงมีผู้บริโภคได้แค่ 2 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมเท่านั้นก็หวานมากเกินไปแล้ว”

เรียกว่าเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจสำหรับคนรักสุขภาพค่ะ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ประโยชน์ที่ได้รับมาจากวิตามินแต่ละชนิด

ฟรุกโตส ภัยร้ายทำลายสุขภาพ